ฟักแม้ว (ชาโยเต้)

ฟักแม้ว มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า  มะระหวาน มะเขือเครือ บ่าเขือเครือ มีถิ่นกำเนิดในทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกและแถบอเมริกากลาง ซึ่งในปัจจุบันมีการนำเข้ามาปลูกในไทยและมีการปลูกฟักแม้วกันมากในจังหวัดเลย เพชรบูรณ์ และจังหวัดทางภาคเหนืออย่างเชียงราย โดยจัดเป็นเถาไม้เลื้อย ลักษณะทั่วไปจะคล้ายกับพืชที่อยู่ในตระกูลแตง แต่มีลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะของลำต้น ใบ ยอด และมือจับ คล้ายต้นแตงกวาผสมฟักเขียว มีระบบรากสะสมขนาดใหญ่ ลำต้นฟักแม้วมีลักษณะเป็นเหลี่ยม มีความยาวประมาณ 15-30 ฟุต มีเถาแขนง 3-5 เถา มีมือเกาะเจริญที่ข้อ





สรรพคุณของฟักแม้ว

  1. ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน (ผล, ใบ)
  2. น้ำต้มใบและผลนำมาใช้ในการรักษาอาการเส้นเลือดแข็งตัวได้ (ผล, ใบ)
  3. มะระหวานช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการดื่มน้ำที่ต้มจากผลและใบฟักแม้ว (ผล, ใบ)
  4. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (ผล, ใบ)
  5. ยอดฟักแม้วช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวกขึ้น จึงป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี (ใบ)
  6. ผลและใบฟักแม้วนำมาใช้ดองเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ (ผล, ใบ)
  7. น้ำต้มใบและผลฟักแม้วช่วยสลายนิ่วในไต (ผล, ใบ)
  8. ช่วยแก้อาการอักเสบด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน (ผล, ใบ)



ประโยชน์ของฟักแม้ว

  1. ฟักแม้วเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
  2. ผลฟักแม้วมีโฟเลตสูง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับทารกในครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการของทารกแต่กำเนิด (ผล)
  3. ยอดอ่อนและผลอ่อนสามารถใช้รับประทานได้ แถมยังประกอบไปด้วยวิตามินและกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น แคลเซียมที่มีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  4. ผลสามารถนำมาหั่นเป็นฝอยหรือสไลซ์เป็นแผ่นใช้ผัดกับไข่ได้ หรือใช้ผัดกับน้ำมัน หรือจะนำมาตำส้มตำใช้แทนมะละกอได้ เพราะมีเนื้อกรอบหวาน
  5. เมนูฟักแม้ว ยอดอ่อนฟักแม้วสามารถนำมาต้มกินกับน้ำพริก ใช้ทำต้มจืด แกงเลียง ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ผัดกับหมู ผัดน้ำมันหอย ลาบ ยำยอดฟักแม้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วจะนำมาผัดน้ำมันหอย
  6. รากฟักแม้วส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยแป้ง สามารถนำมาใช้ต้มหรือผัดเพื่อรับประทานได้
  7. ปกติแล้วจะนิยมใช้ส่วนของผล ใบ และรากเพื่อประกอบอาหาร แต่ลำต้นและเมล็ดก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่เป็นที่นิยม
  8. รากฟักแม้วสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้



ไผ่หวานเพชรล้านนา

ข้อมูลเบื้องต้น

    ลักษณะหน่อไผ่หวานเพชรล้านนาจะมีขนสีดำติดที่เปลือก  ล้างออกง่าย หน่อของไผ่หวานเพชรล้านนาชิมดิบไม่ขม  มีรสชาติหวานหอมอร่อย  หน่อที่ขุดมาทำอาหารจะขุดหน่อในระยะที่ไม่ยาวเกินไป ถ้ายาวเกินไปจะขึ้นข้อทำให้ได้เนื้อน้อย นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเหมือนไผ่บงหวาน  เนื้อหน่อเมื่อนำมาแกงจะนุ่มกว่าไผ่บงหวาน  ออกทะวายนอกฤดูได้เหมือนไผ่บงหวาน



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.chiangraifocus.com/

   ไผ่หวานเพชรล้านนาที่ปลูกได้ประมาณ  8  เดือน เริ่มให้หน่อที่ใหญ่ขึ้นพอๆกับหน่อไผ่บงหวาน  แต่จะเริ่มให้หน่อใหญ่ขึ้นเมื่อผ่านไปหลังจากปลูก  15  เดือน  และจะโตเต็มที่ให้หน่อที่ใหญ่สุดเมื่อปลูกได้  2  ปีผ่านไป 

การปลูกไผ่หวานเพชรล้านนา

   ปลูกในระยะระหว่างต้น 2x4 เมตร โดยพื้นที่ 1 ไร่จะใช้ต้นไผ่จำนวน  200 ต้น โดยขุดหลุมกว้าง  30x30x30 เซนติเมตร จากนั้นคลุกหลุมปลูกด้วยขี้เถ้าแกลบเพื่อเก็บความชื้นจะทำให้ไผ่บงหวานโตเร็วขึ้น ถ้าจะใช้ปุ๋ยคอกเก่ารองก้นหลุมก็ให้คลุกให้เข้ากันก่อน ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมประมาณ  1 กำมือ ถ้าใส่มากกว่านี้ต้นจะเหลืองและโตช้าเพราะรากไผ่ที่เกิดใหม่มีน้อยและยังอ่อนอยู่ เมื่อเตรียมหลุมเสร็จก็นำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูก โดยให้กลบดินให้เสมอกับดินเดิม ถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้งก็ปลูกลึกกว่าดินเดิมได้เล็กน้อย หลังจากปลูกให้รดน้ำทันทีให้ชุ่ม ต่อไปก็ให้รดน้ำทุกๆ 3 วันจนกว่าฝนจะตกชุก ถ้าเกษตรกรปลูกตรงกับฤดูแล้งควรจะหาฟางข้าวหรือวัสดุคลุมดินอื่นๆคลุมที่โคนไผ่ จะทำให้ต้นไผ่ไม่ขาดน้ำและเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง

   ในหนึ่งปีต้องตัดแต่งต้นเก่าแก่ออกปีละ 1 ครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยนำไปใช้ทำไม้ค้ำยันผลไม้และผักในสวน หรือจะนำไปใช้เผาถ่านไม้ไผ่ไว้ใช้ในครัวเรือน เหลือก็ขายมีรายได้เพิ่มอีกทาง ส่วนเศษใบเศษกิ่งไผ่ก็ทิ้งไว้ในแปลงปล่อยให้จุลินทรีย์ย่อยสลาย กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไผ่ต่อไป นอกจากตัดแต่งต้นเก่าออกปีละครั้งแล้ว 
   ช่วงเวลาฤดูฝนเป็นช่วงที่ต้องปล่อยให้หน่อไผ่ที่แทงออกห่างกอขึ้นลำ โดยกอหนึ่งจะปล่อยให้ขึ้นลำประมาณ 8-12 ลำ เพื่อเป็นลำแม่ที่จะให้หน่อในฤดูถัดไป ลำที่ปล่อยขึ้นใหม่จะมีแขนงออกตามข้อ ต้องคอยตัดแขนงทิ้ง แขนงที่อ่อนสามารถนำไปรับประทานได้ ในช่วงนอกฤดูแขนงจะไม่ออกเพราะหน่อไผ่ที่ออกมาจะถูกขุดขายตลอด ยิ่งขุดยิ่งออกมาเรื่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงนาทีทอง   ของคนที่ฝากปากท้องไว้กับไผ่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกคบกับไผ่พันธุ์ไหน ไผ่บงหวานจะเก็บผลผลิตได้ 20-50 กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน(ผลผลิตที่ได้ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกสายพันธุ์และการดูแลจัดการที่ถูกต้อง) 
   ไผ่บงหวานจะออกหน่อง่าย ออกได้เรื่อยๆทั้งปี ระยะเวลาที่หน่อโตพอที่จะขุดได้ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน  ในช่วงนอกฤดูจะออกหน่อดก แต่ในช่วงฤดูฝนราวๆเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปก็ต้องปล่อยให้ขึ้นลำไปบ้าง จึงเก็บผลผลิตได้น้อยกว่าในช่วงนอกฤดู ในช่วงฤดูฝนเมื่อหน่อไผ่ธรรมชาติออกมา

การคลุมโคนไผ่

          วัสดุที่ใช้คลุมโคนไผ่ ให้ใช้ขี้เถ้าแกลบ ขี้เถ้าจากการเผาแบบชีวะมวล หรือแกลบดิบที่เก่าๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงเพราะที่โคนไผ่มีความชื้นพอเพียง ทำให้หน่อดกและหน่อใหญ่เกษตรกรจะได้น้ำหนักมากกว่าการที่ไม่ได้ใช้วัสดุคลุมโคนไผ่และหน่อยังมีรสชาติที่ดี มีความกรอบไม่แข็ง  หวาน มากขึ้น สีผิวของหน่อขาวน่ากิน

การขุดหน่อ

การขุดหน่อไผ่เกษตรกรต้องใช้เสียมลับให้คมเวลาขุดหน่อจะได้ไม่ช้ำ เมื่อจะขุดให้เขี่ยวัสดุที่คลุมหน่อไผ่ออกให้เห็นโคนของหน่อ แล้วใช้เสียมแทงให้ขาด ควรให้ติดส่วนของเหง้ามาสัก 2 เซนติเมตร เพื่อกำจัดเนื้อไม้ที่ยังอ่อนซึ่งเป็นที่อยู่ของตากิ่งแขนงข้าง แต่ถ้าไม่เอาตาข้างที่อัดแน่นกันอยู่ออกให้หมด ก็จะมีกิ่งแขนงเล็กๆขึ้นอยู่ทำให้กอไผ่รกใด้ และจะส่งผลทำให้ตาหน่อไม่สามารถแทงหน่อได้ ทำให้ไม่ค่อยมีผลผลิต  
 
ขั้นตอนการจัดการแปลงไผ่

 - เดือน พฤษภาคม เริ่มปลูกไผ่
 - เดือน มิถุนายนถึงตุลาคม ดูแลกำจัดวัชพืช ให้น้ำ ให้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แต่งกิ่งแขนงไม่ให้รกที่โคนไผ่ เพื่อป้องกันหนูมากินหน่อ และง่ายกับการจัดการ 
 - เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ตัดสางลำแก่ทิ้ง แต่งกิ่งแขนงข้างต้นไม่ให้กอรก ใส่ปุ๋ยคอก คลุมโคนไผ่ด้วยขี้เถ้าแกลบหรือวัสดุอื่นๆที่หาง่าย ให้น้ำจนชุ่ม
 - เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ขุดหน่อขายให้หมด ห้ามปล่อยขึ้นลำ เหตุผลเพราะถ้าปล่อยขึ้นลำ อาหารที่กอไผ่สร้างขึ้นจะไปเลี้ยงลำใหม่ที่ยืดสูงขึ้นจะมีผลทำให้หน่อที่เกิดทีหลังฝ่อและไม่ค่อยออกหน่อให้เก็บ  
 - เดือนสิงหาคมเดือนถึงตุลาคม เก็บหน่อที่เล็กและหน่อที่เกิดชิดต้น แต่เริ่มปล่อยหน่อที่เกิดห่างกอไว้เป็นลำแม่ใหม่ กอละ 8-12 ลำ
 - เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ปฏิบัติเหมือนขั้นตอนเดิม ขั้นตอนต่างๆจะวนซ้ำเช่นนี้ทุกๆปีไป
     

หวาย

วิธีการเพาะต้นกล้า

   นำเมล็ดหวายสุกมาห่อผ้า แช่น้ำไว้ 2-5 วัน ระหว่างนั้นจัดเตรียมแปลงเพาะกล้าที่เหมาะสม ผสมดินปลูกด้วยสูตร ดิน ปุ๋ยคอก แกลบ ในอัตราส่วนเท่ากันคลุกเคล้าให้เข้ากัน   ปรับพื้นที่ดินปลูกให้เรียบ ทำร่องเป็นทางยาวตลอดความยาวของแปลง เพื่อสะดวกในการถอนไปปลูกในแปลงปลูก โดยแต่ละร่องห่างกัน 8-10 ซม. 


แหล่งที่มาของข้อมูล: http://sapit58.blogspot.com/2015_07_01_archive.html

   จากนั้นโรยเมล็ดหวาย ให้กระจายในร่อง ไม่บาง แต่ก็ไม่หนาแน่นเกินไป  จากนั้นกลบร่อง เพื่อป้องกันเมล็ดลอยตัวขึ้นมาบนผิวดินในขณะรดน้ำ  เอาฟางแห้งคลุม ป้องกันการฟุ้งกระจายของดิน และรักษาความชื้นของดินรดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2-3 เดือน เมล็ดหวายก็จะงอกออกมา   ให้ถอนต้นกล้าไปใส่ถุงดำ


แหล่งที่มาของข้อมูล: www.puechkaset.com


วิธีการปลูกหวาย

   นำต้นกล้าหวายไปปลูกในแปลงปลูก โดยการขุดหลุมรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก นำต้นกล้าลงปลูกคลุมด้วยดินปลูกปิดทับด้วยฟางข้าว รดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็นต่อเนื่อง เมื่อหวายเริ่มโต แทงหน่ออ่อนเพิ่มขึ้นควรตัดแต่งให้ทรงพุ่มโปร่ง จะทำให้ได้หน่อหวายต้นใหญ่ อวบ ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค 


แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.wegrow.in.th/

   เมื่อปลูกแล้วก็ดูแลตามปกติ รดน้ำตามความเหมาะสม ตามสภาพภูมิอากาศ ซึ่งพอย้ายลงปลูกได้ 2 เดือน ก็พรวนดินถอนหญ้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับใส่ปุ๋ย โดยในการใส่ปุ๋ยครั้งแรกนั้นให้ใส่ในปริมาณน้อยๆ ก่อน เพราะทำให้ดินเค็ม ต้นกล้าจะตายได้ และหลังจากนี้ไปให้ใส่ปุ๋ยทุกเดือน ส่วนการจะเพิ่มปุ๋ยมากหรือน้อยให้สังเกตการเจริญเติบโตของต้นกล้าเป็นหลัก นอกจากนี้แล้วหวายยังเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี ไม่ตายง่ายๆ ในช่วงฤดูแล้งถ้ามีน้ำรดอย่างเพียงพอ และใส่ปุ๋ยบำรุงต้นให้ดี หวายก็สามารถแตกหน่อให้ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างต่อเนื่อง


แหล่งที่มาของข้อมูล: http://dekudonthani.blogspot.com/

   สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เมื่อหวายสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วในช่วงต้นฤดูฝน และก่อนจะหมดฝนแนะนำให้ใส่ปุ๋ย เพื่อบำรุงต้นให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี 

กาแฟอาราบิก้า ( Arabica Coffee )

การเพาะต้นกล้า

   อุณหภูมิของแปลงเพาะที่มีความอบอุ่น จะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น ดังนั้นในพื้นที่ที่ระดับสูงมาก ควรทำการเพาะเมล็ดกลางแจ้ง จะช่วยให้งอกได้เร็วขึ้น สิ่งที่สำคัญคือต้องมีน้ำใช้พอเพียง และสะดวกในการใช้รดแปลงเพาะ ดินที่ใช้ทำแปลงเพาะควรเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เช่น ดินชั้นบนในป่า หรือผสมเอง โดยใช้ปุ๋ยคอกที่เน่าเปื่อยดีแล้วร่อนเอา เศษวัสดุอื่นและที่เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ออก ถ้ามีปุ๋ยหมักเป็นการดีที่สุด ทำการขุดแปลงเพาะพลิกดินตากแดดสักระยะหนึ่ง แล้วจึงนำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่เตรียมไว้เข้าคลุกเคล้าให้ดี ควรใส่ปุ๋ยจำพวกให้ฟอสฟอรัสลงไปด้วย แปลงเพาะควรยกขึ้นประมาณ 10 เซนติเมตร กว้าง 1 เมตร ยาวเท่าใดก็ได้ตามความเหมาะสมและสภาพพื้นที่ทำร่องลึกประมาณ 1/2 นิ้ว แล้ววางเมล็ดกาแฟลงไปให้ด้านแบนอยู่ข้างล่าง จะช่วยให้การงอกดีขึ้น แล้วใช้ดินร่วนหรือทรายโรยทับบน



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.megazy.com/

   ระยะที่สะดวกคือควรโรยเมล็ดเป็นแถวไปตามความยาวระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร จะได้ 4 แถว ระยะระหว่างต้น 15 เซนติเมตร กำลังดี วิธีนี้สะดวกในการดูแลรักษาและขนส่งต้นกล้าไประยะทางไกล ควรย้ายชำในถุงพลาสติกใส่ดิน ก่อนถึงเวลานำไปปลูก เมื่อฝนเริ่มตกประมาณเดือนพฤษภาคม และตั้งตัวได้ไปปลูก เมื่อฝนเริ่มตกชุกประมาณ มิถุนายน–สิงหาคม ไม่ควรปลูกช้ากว่านี้ เพราะต้นกล้าจะตั้งตัวไม่ทัน ฤดูแล้งทำให้เปอร์เซนต์ต้นตายสูง หลังจากโรยเมล็ดเสร็จแล้วให้ใช้ดินร่วนหรือทรายกลบเมล็ด คลุมแปลงด้วยฟางหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ทำการรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 2 ครั้ง เมื่อเมล็ดเริ่มงอกให้เอาวัสดุหรือฟางที่คลุมอยู่ออกทันที อัตราส่วนของดินที่ใช้ชำกาแฟ ควรเป็นทราย 1 ส่วน ปุ๋ยคอกที่เน่าเปื่อยดีแล้ว 2 ส่วน และหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ 3 ส่วน ส่วนแปลงเพาะที่จะย้ายกล้าระยะก้านไม้ขีดหมดนั้น อาจเป็นทรายล้วนก็ได้



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.mgronline.com/


สำหรับระยะของเมล็ดจะโรยถี่ห่างแค่ไหน ขอให้พิจารณาที่จะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ก่อน เพื่อประกอบการตัดสินใจดังกล่าวแล้วว่าการงอกของกาแฟแบ่งออกได้ 3 ระยะ ซึ่งเราสามารถย้ายชำได้ทุกระยะ โดยมีข้อดีข้อเสียดังต่อไปนี้


1. การย้ายชำในระยะก้านไม้ขีด ให้เปอร์เซนต์ต้นรอดตายสูงที่สุด และสะดวกในการชำ เพราะต้นกล้ายังมีอาหารสะสมอยู่ที่ใบเลี้ยงมาก ต้นมีขนาดเล็ก รากมีแต่รากแก้ว ง่ายในการชำลงถุงพลาสดิกใส่ดินที่เตรียมไว้แล้ว



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html


-ข้อดีของการย้ายชำในระยะก้านไม้ขีดและระยะผีเสื้อ คือ ให้เปอร์เซนต์ต้นรอดตายสูง ต้นกล้าที่ได้รับการบารุงรักษาดี สามารถนำไปปลูกได้ดีและตั้งตัวได้เร็ว


-ข้อเสีย คือ การดูแลบำรุงรักษาทำได้ยาก โดยเฉพาะการกำจัดวัชพืช และการใช้ปุ๋ย หากต้องทำการขนส่งต้นกล้าไปปลูกในที่ไกลเรือนเพาะชำ ทำให้ขนส่งได้ลำบากและได้ครั้งละจำนวนไม่มาก


2. การย้ายชำในระยะผีเสื้อ หากไม่สามารถชำต้นกล้าระยะไม้ขีดได้หมดทัน ต้นกล้าเปลี่ยนมาเป็นระยะผีเสื้อ ก็ยังสามารถย้ายชำได้สะดวกเช่นเดียวกัน



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html

3. การย้ายชำในระยะใบจริง เปอร์เซนต์ต้นกล้ารอดตายน้อยลงตามจานวนใบจริงที่เพิ่มขึ้น เพราะการขุดกระทบกระเทือนต่อระบบรากมาก หากย้ายชำระยะใบจริงจะต้องควบคุมความชื้นบริเวณผิวใบให้ชุ่มชื้นอยู่เสมออย่างเพียงพอ มิฉะนั้นหากใบร่วงจะทำให้ต้นกล้าชงักการ เจริญเติบโตอาจถึงตายได้ ถ้าไม่ตายอาจแตกใบใหม่ แต่ก็แคระแกร็น ไม่สามารถปลูกในฤดูปลูกนั้นได้ จะต้องเลื่อนออกไปปลูกปีถัดไปแต่ก็เป็นต้นกล้าที่คุณภาพไม่ดีนัก



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html

-ข้อดี คือ ทำการดูแลบำรุงรักษาในแปลงได้ง่ายกว่าในแง่การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย การรดน้ำการป้องกันโรคและแมลง สามารถส่งต้นกล้าไปยังแหล่งปลูกไกลๆ ได้จำนวนครั้งละมากๆ ในสภาพของต้นกล้าแบบBare root หรือล้างรากเอาดินออกเพื่อไปชำในบริเวณปลูกกาแฟก่อนที่ทำการปลูก หรือทำการปลูกในไร่ทันที


-ข้อเสีย คือ เปอร์เซนต์ต้นรอดตายมีน้อย อาจถึง 50% ต้องการการดูแลให้ความชื้นอย่างเพียงพอ ในระยะช่วงย้ายชำใหม่ๆ


--------------------------------------------------------------------

การปลูกกาแฟ

 ต้นกล้าที่จะย้ายลงปลูกควรมีอายุตั้งแต่ 8 - 12 เดือน หรือ มีใบจริงไม่น้อยกว่า 4 - 5 คู่ โดยระยะปลูกประมาณ 2 x 2 เมตร ขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร โดยสามารถแยกวิธีการปลูกออกเป็น 2 แบบดังนี้

การปลูกแบบตัดแต่งแบบทรงร่ม (Umbrella) 


วิธีนี้เป็นวิธีการที่ใช้กับกาแฟอาราบิก้าที่ปลูกภายใต้สภาพร่มเงา โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 
1. เมื่อต้นกาแฟเจริญเติบโตจนมีความสูง 90 เซนติเมตร ตัดยอดให้เหลือความสูงเพียง 75 เซนติเมตร 

2. เลือกกิ่งแขนงที่ 1 (primary branch) ที่อ่อนแอทิ้ง 1 กิ่ง เพื่อป้องกันยอดฉีกกลาง และต้องคอยตัดยอดที่ จะแตกออกมาจาก โคนกิ่งแขนง ของลำต้นทุกยอดทิ้ง และกิ่งแขนงที่ 1 จะให้ผลผลิต 2-3 ปี ก็จะแตกกิ่งแขนงที่ 2(Secondary branch) กิ่งแขนงที่ 3 (terriary branch) และ กิ่งแขนงที่ 4 (quarternary branch) ให้ผลผลิตช่วง 1-8 ปี 

3. เมื่อต้นกาแฟให้ผลผลิตลดลง ต้องปล่อยให้มี การแตกยอดออกมาใหม่ 1 ยอดจากโคนของกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดหรือถัดลงมา และเมื่อยอดสูงไปถึงระดับ 170 ซม. ตัดให้เหลือความสูงเพียง 150 เซนติเมตร ตัดกิ่ง แขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดให้เหลือเพียง 1 กิ่ง ซึ่งจะสามารถให้ผลผลิตต่อไปอีก 8-10 ปี 

การปลูกแบบตัดแต่งแบบหลายลำต้น (Multiple stem pruning system) 

วิธีการนี้ใช้กับต้นกาแฟอาราบิก้าที่ปลูกกลางแจ้ง โดยทำให้เกิด ต้นกาแฟหลายลำต้น จากโคนต้นที่ถูกตัด แต่คัดเลือกเหลือเพียง 2 ลำต้น ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้ 

1. เมื่อต้นกาแฟสูงถีง 69 เซนติเมตร ให้ตัดยอดให้เหลือ ความสูงเพียง 53 เซนติเมตร เหนือพื้นดินมียอดแตกออกมาจาก ข้อโคนกิ่งแขนงที่ 1 จากคู่ที่อยู่บนสุด 2 ยอด จะต้องตัดกิ่งแขนงที่ 1 ทิ้งทั้ง 2 ข้าง 

2. ปล่อยให้ยอดทั้ง 2 ยอดเจริญเติบโตขึ้นไปทางด้านบน ในขณะเดียวกันกิ่ง แขนงที่ 1 ที่อยู่ต่ำกว่า ความสูง 53 เซนติเมตร เริ่มให้ผลผลิต 

3. กิ่ง แขนงที่ 1 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าความสูง 53 เซนติเมตร จะถูกตัดทิ้ง หลังจากที่ให้ผลผลิตแล้ว ในขณะเดียว กันกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่ระดับล่างๆ ของลำต้นทั้งสองก็เริ่มให้ผลผลิต 

4. ต้นกาแฟที่เจริญเป็นลำต้น ใหญ่ 2 ลำต้น จะสามารถให้ ผลผลิตอีก 2-4 ปี และขณะเดียวกันก็จะเกิด หน่อขึ้นมา เป็นลำต้นใหม่ อีกบริเวณโคนต้นกาแฟเดิม ให้ปล่อยหน่อที่แตกใหม่เจริญเป็นต้นใหม่ ตัดให้ เหลือเพียง 3 ลำต้น 

5. ให้ตัดต้นกาแฟเก่าทั้ง 2 ต้นทิ้ง และเลี้ยงหน่อใหม่ ที่เจริญเป็นต้นใหม่ ซึ่งจะสามารถให้ผลผลิตได้อีก 2-4 ปี แล้วจึงตัด ต้นเก่าเพื่อให้แตกต้นใหม่อีก 


การให้น้ำ

พื้นที่ปลูกที่เหมาะสมส่วนใหญ่อยู่บนพื้นที่สูงระดับตั้งแต่ 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ซึ่งจะอาศัยน้ำฝน ตามธรรมชาติ ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 1,500 มิลลิเมตร และมีการกระจายของฝนตั้งแต่ 5-8 เดือน ในรอบ 1 ปี นอกจากนี้ยังมีสภาพอากาศหนาวเย็น ความชื้นสูง จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบการให้น้ำกับต้น กาแฟ นอกจากนี้หากปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลยืนต้น หรือปลูกกาแฟ ภายใต้สภาพร่มเงากับไม้ป่าโตเร็ว รวมถึงการคลุมโคนต้น ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ปลูกไม่ต้องพึ่งพาระบบชลประทาน 

--------------------------------------------------------------------

การเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อคุณภาพของกาแฟ ได้แก่ เนื้อสารกาแฟ (Body) รสชาติ (Flavour) ความเป็นกรด (Acidity) และมีกลิ่นหอม (Aroma) หากเก็บผลที่ยังไม่สุก และช่วงเวลาในการเก็บไม่เหมาะสม นอกจากจะมีผลต่อคุณภาพ และรสชาติแล้ว ยังมีผลทำให้ต้นทุนการผลิต (ค่าแรงงาน) เพิ่มขึ้น 


แหล่งที่มาของข้อมูล: www.technologychaoban.com


- ควรเก็บผลที่สุก 90-100 เปอร์เซ็นต์ คือ เมื่อผลมีสีแดงเกือบทั้งผล หรือทั่วทั้งผลหรือผลมีสีเหลืองเกือบทั้งผลหรือทั่วทั้งผล (บางสายพันธุ์ ผลสุกจะเป็นสีเหลือง) 


- การทดสอบผลสุกพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว โดยการปลิดผลกาแฟ แล้วใช้นิ้วบีบผล ถ้าผลสุกเปลือกจะแตกง่ายและเมล็ดกาแฟจะโผล่ออกมา 

- การเก็บผลควรจะพิจารณาการสุกของผลบนแต่ละกิ่ง ที่ให้ผลในแต่ละต้น ว่ามีผลสุกมากกว่าร้อยละ 50 ในการเก็บผลผลิตครั้งแรก ซึ่งปกติการเก็บ ผลกาแฟจะต้องใช้เวลาเก็บประมาณ 2-4 ครั้ง

อายุการเก็บเกี่ยว 

ผลกาแฟในแต่ละสภาพพื้นที่ปลูกไม่พร้อมกัน 
- ระดับความสูง 700-900 เมตรจากระดับน้ำทะเลอายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล-ผลสุก) ประมาณ 6 เดือน 
- ระดับความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล อายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล-ผลสุก) ประมาณ 9 เดือน 


แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html


วิธีการเก็บเกี่ยว


การเก็บทีละผลหรือทั้งช่อ โดยเก็บเฉพาะผลที่สุกในแต่ละช่อ หรือเก็บทั้งช่อก็ได้ หากผลสุกพร้อมกัน เป็นวิธีการที่จะสามารถควบคุม คุณภาพของกาแฟได้ดีที่สุด

อะโวคาโด (avocado)

พันธุ์อะโวคาโด


พันธ์ ปีเตอร์สัน (Peterson)
พันธุ์ Peterson เก็บเกี่ยวได้ประมาณกรกฏาคมถึงเดือนสิงหาคม ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้ สีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยเกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล และเยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อข้างในสีจะออกเขียวเหลือง น้ำหนักผลระหว่าง 250-400 กรัม




พันธ์ บัคคาเนียร์ (Buccanear)
พันธุ์ Buccanear เก็บเกี่ยวได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้ สีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยเกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล และเยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อข้างในสีจะออกเขียวเหลือง น้ำหนักผลระหว่าง 250-400 กรัม




 พันธุ์แฮส (Hass) 
พันธุ์ Hass เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผลที่เก็บเกี่ยวได้ ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มเป็นสีม่วงปนเขียว และเยื่อหุ้มเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จะนิยมกันมากในชาวต่างชาติ และนิยมขายในห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ เป็นพันธุ์มาจากออสเตรีย รสชาติออกมัน เนื้อแน่น


พันธุ์ พิ้งค์เคอร์ตัน (Pinkerton)
พันธุ์ Pinkerton เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผลที่เก็บเกี่ยวได้ ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มเป็นสีม่วงปนเขียว และเยื่อหุ้มเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จะนิยมกันมากในชาวต่างชาติ และนิยมขายในห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ จากออสเตรีย รสชาติออกมัน เนื้อแน่น (ตระกูลเดียวกับพันธ์ Hass)





การปลูกอะโวคาโด้
  อะโวคาโด้เป็นพืชไม่ทนน้ำท่วมขัง ควรปลูกในที่ที่ไม่มีน้ำท่วมขังหรือควรยกร่องปลูก ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน  แต่สามารถปลูกได้ทั้งปีถ้ามีระบบชลประทาน   ระยะปลูก  8×6 เมตร ก่อนปลูกให้นำต้นพันธุ์ออกไว้กลางแจ้งเพื่อปรับสภาพสัก 2-3 วัน ขุดหลุมขนาดกว้าง,ยาว,ลึก  60x60x60 เซนติเมตร  ใส่ปุ๋ยคอก ประมาณ 1-2 ปุ้งกี๋ นำลงปลูก กลบดินผสมปุ๋ยลงไปในหลุมให้แน่น  ค้ำต้นด้วยไม้ไผ่   ใช้ฟาง  แกลบ หรือเศษไม้  คลุมรอบโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น   ให้น้ำทุกวัน หรือวันเว้นวัน จนถึงอายุประมาณ 1 ปี  จึงลดการให้น้ำเหลือ สัปดาห์ละครั้ง  สำหรับต้นใหญ่ให้น้ำทุก 15 วัน
  การให้ปุ๋ย  ให้ปุ๋ย ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแตสเซียม (K) ในอัตราส่วน 3-1-1 โดยผสมปุ๋ยยูเรีย 1 ส่วนต่อปุ๋ยสูตรเสมอ (15-15-15)  2 ส่วน  สลับกับปุ๋ยโวก้าอินทรีย์ ปริมาณปุ๋ยในปีแรก เริ่มให้หลังปลูก 2 เดือน ให้ปุ๋ย ต่อต้นประมาณ 200 กรัม ทุก 3 เดือน  ปีที่ 2 ให้ 400 กรัม  สำหรับ ปีที่ 3  หรือปีต่อๆ ไปซึ่งเป็นช่วงที่อะโวคาโดให้ผลผลิต ให้ปุ๋ยปริมาณ  500 กรัม ช่วงต้นฝนกับกลางฝน ช่วงปลายฝนงดให้น้ำเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออกดอก
  การใส่ปุ๋ยอินทรีย์โวก้า เสริมสารแอคทีฟซิลิคอนนั้นเป็นประโยชน์มากต่อต้นอะโวคาโด้ เนื่องจากแอคทีฟซิลิคอน จะถูกอะโวคาโด้ดูดเข้าไปสะสมตามผนังเซลของพืชทำให้ ต้นอะโวคาโด้ ต้านทานโรคเน่าได้ดีขึ้น นอกจากนี้ แอคทีฟซิลิคอนยังช่วยปรับสภาพดินบริเวณรากให้ร่วนซุย ทำให้น้ำ อากาศถ่ายเทได้สะดวกขึ้นเป็นการป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบรากอีกทางหนึ่ง
   สำหรับอะโวคาโด้ที่เสียบยอดนั้น   ถ้าดูแลดีจะให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 3 ส่วนอะโวคาโด้เพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 8   หากต้นยังไม่โตพอในช่วงปีแรกๆ ควรปลิดผลทิ้งเพื่อเร่งการเจริญเติบโตทางต้นให้เต็มที่เสียก่อน
  การตัดแต่งกิ่ง เมื่ออะโวคาโด้มีความสูงเลยเข่าขึ้นมาให้ตัดยอดทิ้งให้เหลือแต่ตอ จะทำให้อะโวคาโด้แตกยอดขึ้นมาใหม่ 3-4 ยอด ในช่วงการเจริญเติบโต ให้ตัดกิ่งแห้ง เป็นโรค กิ่งทับซ้อนกัน กิ่งบังแสง กิ่งกระโดง ออก  โดยเน้นให้แผ่ไปด้านข้าง และตัดให้ทรงต่ำเพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว  การตัดแต่งกิ่งจะทำอีกครั้ง หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งแห้ง เป็นโรค และช่อของกิ่งผล(ควั่น)ที่ติดอยู่บนต้น หลังจากตัดแต่งกิ่งแล้วก็ให้ปุ๋ยโวก้าอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยยูเรียเพื่อบำรุงต้น
การผสมเกสรของอะโวคาโด้
   โดยปกติ ดอกของอะโวคาโด้เมื่อบานครั้งแรกจะยังไม่พร้อมผสมพันธุ์ แต่จะพร้อมผสมพันธุ์เมื่อบานครั้งที่ 2 เราสามารถแบ่งสายพันธุ์ อะโวคาโด้ ได้เป็น 2 กลุ่มตามลักษณะการบานของดอกดังนี้
กลุ่ม A  :  มีการบานของดอกคือจะบานครั้งแรกในตอนเช้า เกสรตัวเมียนั้นพร้อมรับละอองเกสร แต่ตัวเกสรตัวผู้นั้นไม่พร้อมผสม ดอกจะหุบในตอนเที่ยงและบานอีกครั้งในในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้นเกสรตัวผู้และตัวเมียจึงพร้อมผสม ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 30 ชั่วโมง (ค่อนข้างนาน) ทําให้อะโวกาโดในกลุ่มนี้จึงติดผลยากได้แก่ พันธุ์แฮส (Hass) ปีเตอร์สัน (Peterson) ลูล่า(Lula) มอนโร(Monroe) ปากช่อง 1-14 ปากช่อง 2-4 ปากช่อง 2-6 เป็นต้น
กลุ่ม B  :  มีการบานของดอกคือจะบานครั้งแรกในตอนบ่าย เกสรตัวเมียนั้นพร้อมรับละอองเกสร แต่ตัวเกสรตัวผู้นั้นไม่พร้อมผสม และดอกจะบานอีกครั้งในในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เกสรตัวผู้และตัวเมียจึงพร้อมผสม ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ทําให้อะโวกาโดในกลุ่มนี้จึงติด ผลได้ค่อนข้าง ดีกว่า   ได้แก่ พันธุ์ บัคคาเนีย (Buccanaer) บูธ 7 (Booth 7) บูธ 8  (Booth 8) เฟอร์เต้ (Fuerte)  ฮอล (Hall) รูเฮิล (Ruehle) ปากช่อง 2-8 ปากช่อง 2-5 ปากช่อง3-3 เป็นต้น

   หากต้องการเพิ่มการติดผลของอะโวคาโด้  โดยเฉพาะสายพันธุ์กลุ่ม A ควรปลูก พันธุ์กลุ่ม A ร่วมกับกลุ่ม B โดยการผสมพันธุ์ในต้นเดียวกันจะใช้ลมเป็นหลัก ส่วนการผสมข้ามต้นจะใช้แมลง เช่นผึ้ง มดตะนอย  เป็นหลัก

กล้วยน้ำว้า

การปลูกกล้วยน้ำว้า

1.นำต้นพันธุ์ที่ได้จากการผ่าหน่อหรือเพาะเนื้อเยื้อโดยใช้ต้นกล้าที่มีความสูงอย่างน้อย 25 เซนติเมตรขึ้นไป เพื่อเพิ่มโอกาสรอดในการย้ายลงแปลงปลูก

แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.nanagarden.com/product/200924 , DR Lab

2.กำหนดระยะและขนาดหลุมปลูก โดยระยะที่เหมาะสมคือ 4x4 เมตร และควรขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซ็นติเมตร การขุดหลุมขนาดนี้จะทำให้รากกล้วยหากินได้ไกลขึ้น และความลึกของหลุมจะแก้ปัญหาการขึ้นโคนหรือโคนลอย โดยการปลูกครั้งหนึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้ 4-5 ปีเลย แต่ถ้าขุดหลุมขนาดเล็กและตื้นกว่านี้ จะให้ผลผลิตแค่ปีสองปีก็ต้องรื้อปลูกใหม่แล้ว

แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=115424.16

3.ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมดินประมาณหลุมละ 2 กิโลกรัม รองหนาขึ้นมาประมาณ 30 เซ็นติเมตร แล้วจึงปลูกต้นกล้วยและกลบบริเวณโคนต้นให้แน่น ทำแอ่งดินรอบต้นเพื่อเก็บน้ำรักษาความชื้นของดิน

4.ปลูกเสร็จให้น้ำตามทันทีให้ชุ่มชื้นพอเพียง ไม่เช่นนั้นต้นจะเหี่ยวเฉา ใบแห้งและยุบตัว บางต้นตาย บางต้นแตกต้นใหม่ขึ้นแทนทำให้อายุต้นไม่สม่ำเสมอกัน


5.ในระยะเดือนแรกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และดินต้องชุ่มชื้นเพียงพอ เป็นเดือนที่ต้องเอาใจใส่อย่างมาก หากเป็นการให้น้ำแบบฝอยหรือมินิสปริงเกลอร์ จะทำให้ต้นตั้งตัวได้เร็ว สามารถสร้างใบและลำต้นใหม่ได้ดี โอกาสรอดสูงกว่าการลากสายยางรดน้ำ และเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้น หลังปลูกได้ 1 เดือน และเดือนที่ 2 ส่วนเดือนที่ 3 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทน

ุ6.เดือนที่ 2 และ 3 ต้นกล้วยจะมีต้นและใบใหม่ทั้งหมด ปัญหาคือหญ้าขึ้นคลุมต้น ต้องถากหญ้าบริเวณโคนต้นออกให้หมด


7.เดือนที่ 4 การเจริญเติบโตเร็วมาก ทั้งความสูงและรอบวงต้นใกล้เคียงปลูกจากหน่อพันธุ์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดต้นปลูกเริ่มแรก ถ้าสูง 15 เซนติเมตร ขึ้นไป จะโตทันกัน ถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ต้นรอดตายทั้งหมด การดูแลทำเช่นเดียวกับการปลูกด้วยหน่อ โดยให้ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้นในเดือนที่ 4 และ 5 ส่วนเดือนที่ 6 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทนและงดใส่ปุ๋ยจนกว่าจะแทงปลี ถึงจะใส่ปุ๋ยเคมีอีกครั้ง จนกระทั่งหลังเก็บเกี่ยวถึงจะเริ่มให้ปุ๋ยในรอบใหม่

8.ในช่วง 1-6 เดือนหลังปลูกให้ปาดหน่อที่โผล่ออกมาทิ้งไปพอหลังจากอายุ 6 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 1 พอหน่อที่ 1 อายุ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 2 หลังจากนั้นทุกๆ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 3 และ 4, 5 ตาม โดยหน่อที่ขึ้นมาในช่วงที่ไม่ได้กำหนดให้ปาดทิ้งทั้งหมด ปรากฏว่า เมื่อจะไว้หน่อที่ 5 ต้นแม่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเครือกล้วยได้แล้ว ฉะนั้นจะกลายว่ากอนั้นมีต้นกล้วย 4 ต้น ที่อายุห่างกัน 3 เดือน โดยมีหน่อที่ 1 ที่อายุห่าง 6 เดือน ดังนั้น เมื่อใช้ระบบนี้ต่อไปหลายๆ ปีจะทำให้กล้วยน้ำว้าในแปลงมีอายุห่าง 3 เดือน

แหล่งที่มาของข้อมูล: http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=17460974.0

  สาเหตุที่ไว้หน่อทุก 3 เดือน มีเหตุผลว่า ด้วยการออกผลผลิตของกล้วยน้ำว้าในแปลงนั้นจะออกไม่พร้อมกัน ถึงแม้ไว้ใกล้เคียงกัน จะมีการกระจายตัวในการเก็บเกี่ยวประมาณ 3 เดือน โดยจากข้อมูลที่ศึกษาจากการปลูกกล้วยน้ำว้าด้วยหน่อพบว่า จะมีช่วงแรกที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วงกลางๆ จะเก็บได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และช่วงปลายเก็บได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ทีนี้ถ้าค่อยๆ ปลูกหรือไว้หน่อไป กล้วยที่ออกผลในช่วงปลาย 25 เปอร์เซ็นต์ จะไปรวมกับ 25 เปอร์เซ็นต์ของช่วงแรกในอีกแปลงหนึ่ง จะทำให้ได้ผลผลิตรวมเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทั้งปีด้วยวิธีการนี้ ทำให้สามารถมีผลผลิตกล้วยน้ำว้าจำหน่ายให้กับพ่อค้าได้ตลอดทั้งปี

 9.เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 9 กล้วยจะเริ่มแทงปลี การแทงปลีหรือตกเครือจะเร็วหรือช้ากว่าหน่อพันธุ์ ขึ้นอยู่กับขนาดลำต้นปลูกเริ่มแรกและการดูแลรักษา หากต้นพันธุ์ที่มีขนาดความสูง 15 เซนติเมตรขึ้นไป หรือมีเส้นรอบวงต้นมากกว่า 4 เซนติเมตร การตกเครือใกล้เคียงกับหน่อพันธุ์ ขนาด 1 เมตร หากต้นมีขนาดใหญ่กว่านี้ การตกเครือจะเร็วกว่าหน่อพันธุ์ และหากเล็กกว่านี้การตกเครือจะช้ากว่าหน่อพันธุ์ อายุเครือกล้วยจากการแทงปลีจนกระทั่งเก็บเกี่ยวมีอายุประมาณ 4 เดือน เท่ากับหน่อพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วไป