อะโวคาโด (avocado)

พันธุ์อะโวคาโด


พันธ์ ปีเตอร์สัน (Peterson)
พันธุ์ Peterson เก็บเกี่ยวได้ประมาณกรกฏาคมถึงเดือนสิงหาคม ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้ สีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยเกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล และเยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อข้างในสีจะออกเขียวเหลือง น้ำหนักผลระหว่าง 250-400 กรัม




พันธ์ บัคคาเนียร์ (Buccanear)
พันธุ์ Buccanear เก็บเกี่ยวได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้ สีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยเกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล และเยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อข้างในสีจะออกเขียวเหลือง น้ำหนักผลระหว่าง 250-400 กรัม




 พันธุ์แฮส (Hass) 
พันธุ์ Hass เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผลที่เก็บเกี่ยวได้ ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มเป็นสีม่วงปนเขียว และเยื่อหุ้มเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จะนิยมกันมากในชาวต่างชาติ และนิยมขายในห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ เป็นพันธุ์มาจากออสเตรีย รสชาติออกมัน เนื้อแน่น


พันธุ์ พิ้งค์เคอร์ตัน (Pinkerton)
พันธุ์ Pinkerton เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผลที่เก็บเกี่ยวได้ ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มเป็นสีม่วงปนเขียว และเยื่อหุ้มเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จะนิยมกันมากในชาวต่างชาติ และนิยมขายในห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ จากออสเตรีย รสชาติออกมัน เนื้อแน่น (ตระกูลเดียวกับพันธ์ Hass)





การปลูกอะโวคาโด้
  อะโวคาโด้เป็นพืชไม่ทนน้ำท่วมขัง ควรปลูกในที่ที่ไม่มีน้ำท่วมขังหรือควรยกร่องปลูก ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน  แต่สามารถปลูกได้ทั้งปีถ้ามีระบบชลประทาน   ระยะปลูก  8×6 เมตร ก่อนปลูกให้นำต้นพันธุ์ออกไว้กลางแจ้งเพื่อปรับสภาพสัก 2-3 วัน ขุดหลุมขนาดกว้าง,ยาว,ลึก  60x60x60 เซนติเมตร  ใส่ปุ๋ยคอก ประมาณ 1-2 ปุ้งกี๋ นำลงปลูก กลบดินผสมปุ๋ยลงไปในหลุมให้แน่น  ค้ำต้นด้วยไม้ไผ่   ใช้ฟาง  แกลบ หรือเศษไม้  คลุมรอบโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น   ให้น้ำทุกวัน หรือวันเว้นวัน จนถึงอายุประมาณ 1 ปี  จึงลดการให้น้ำเหลือ สัปดาห์ละครั้ง  สำหรับต้นใหญ่ให้น้ำทุก 15 วัน
  การให้ปุ๋ย  ให้ปุ๋ย ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแตสเซียม (K) ในอัตราส่วน 3-1-1 โดยผสมปุ๋ยยูเรีย 1 ส่วนต่อปุ๋ยสูตรเสมอ (15-15-15)  2 ส่วน  สลับกับปุ๋ยโวก้าอินทรีย์ ปริมาณปุ๋ยในปีแรก เริ่มให้หลังปลูก 2 เดือน ให้ปุ๋ย ต่อต้นประมาณ 200 กรัม ทุก 3 เดือน  ปีที่ 2 ให้ 400 กรัม  สำหรับ ปีที่ 3  หรือปีต่อๆ ไปซึ่งเป็นช่วงที่อะโวคาโดให้ผลผลิต ให้ปุ๋ยปริมาณ  500 กรัม ช่วงต้นฝนกับกลางฝน ช่วงปลายฝนงดให้น้ำเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออกดอก
  การใส่ปุ๋ยอินทรีย์โวก้า เสริมสารแอคทีฟซิลิคอนนั้นเป็นประโยชน์มากต่อต้นอะโวคาโด้ เนื่องจากแอคทีฟซิลิคอน จะถูกอะโวคาโด้ดูดเข้าไปสะสมตามผนังเซลของพืชทำให้ ต้นอะโวคาโด้ ต้านทานโรคเน่าได้ดีขึ้น นอกจากนี้ แอคทีฟซิลิคอนยังช่วยปรับสภาพดินบริเวณรากให้ร่วนซุย ทำให้น้ำ อากาศถ่ายเทได้สะดวกขึ้นเป็นการป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบรากอีกทางหนึ่ง
   สำหรับอะโวคาโด้ที่เสียบยอดนั้น   ถ้าดูแลดีจะให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 3 ส่วนอะโวคาโด้เพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 8   หากต้นยังไม่โตพอในช่วงปีแรกๆ ควรปลิดผลทิ้งเพื่อเร่งการเจริญเติบโตทางต้นให้เต็มที่เสียก่อน
  การตัดแต่งกิ่ง เมื่ออะโวคาโด้มีความสูงเลยเข่าขึ้นมาให้ตัดยอดทิ้งให้เหลือแต่ตอ จะทำให้อะโวคาโด้แตกยอดขึ้นมาใหม่ 3-4 ยอด ในช่วงการเจริญเติบโต ให้ตัดกิ่งแห้ง เป็นโรค กิ่งทับซ้อนกัน กิ่งบังแสง กิ่งกระโดง ออก  โดยเน้นให้แผ่ไปด้านข้าง และตัดให้ทรงต่ำเพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว  การตัดแต่งกิ่งจะทำอีกครั้ง หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งแห้ง เป็นโรค และช่อของกิ่งผล(ควั่น)ที่ติดอยู่บนต้น หลังจากตัดแต่งกิ่งแล้วก็ให้ปุ๋ยโวก้าอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยยูเรียเพื่อบำรุงต้น
การผสมเกสรของอะโวคาโด้
   โดยปกติ ดอกของอะโวคาโด้เมื่อบานครั้งแรกจะยังไม่พร้อมผสมพันธุ์ แต่จะพร้อมผสมพันธุ์เมื่อบานครั้งที่ 2 เราสามารถแบ่งสายพันธุ์ อะโวคาโด้ ได้เป็น 2 กลุ่มตามลักษณะการบานของดอกดังนี้
กลุ่ม A  :  มีการบานของดอกคือจะบานครั้งแรกในตอนเช้า เกสรตัวเมียนั้นพร้อมรับละอองเกสร แต่ตัวเกสรตัวผู้นั้นไม่พร้อมผสม ดอกจะหุบในตอนเที่ยงและบานอีกครั้งในในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้นเกสรตัวผู้และตัวเมียจึงพร้อมผสม ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 30 ชั่วโมง (ค่อนข้างนาน) ทําให้อะโวกาโดในกลุ่มนี้จึงติดผลยากได้แก่ พันธุ์แฮส (Hass) ปีเตอร์สัน (Peterson) ลูล่า(Lula) มอนโร(Monroe) ปากช่อง 1-14 ปากช่อง 2-4 ปากช่อง 2-6 เป็นต้น
กลุ่ม B  :  มีการบานของดอกคือจะบานครั้งแรกในตอนบ่าย เกสรตัวเมียนั้นพร้อมรับละอองเกสร แต่ตัวเกสรตัวผู้นั้นไม่พร้อมผสม และดอกจะบานอีกครั้งในในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เกสรตัวผู้และตัวเมียจึงพร้อมผสม ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ทําให้อะโวกาโดในกลุ่มนี้จึงติด ผลได้ค่อนข้าง ดีกว่า   ได้แก่ พันธุ์ บัคคาเนีย (Buccanaer) บูธ 7 (Booth 7) บูธ 8  (Booth 8) เฟอร์เต้ (Fuerte)  ฮอล (Hall) รูเฮิล (Ruehle) ปากช่อง 2-8 ปากช่อง 2-5 ปากช่อง3-3 เป็นต้น

   หากต้องการเพิ่มการติดผลของอะโวคาโด้  โดยเฉพาะสายพันธุ์กลุ่ม A ควรปลูก พันธุ์กลุ่ม A ร่วมกับกลุ่ม B โดยการผสมพันธุ์ในต้นเดียวกันจะใช้ลมเป็นหลัก ส่วนการผสมข้ามต้นจะใช้แมลง เช่นผึ้ง มดตะนอย  เป็นหลัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น