กาแฟอาราบิก้า ( Arabica Coffee )

การเพาะต้นกล้า

   อุณหภูมิของแปลงเพาะที่มีความอบอุ่น จะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น ดังนั้นในพื้นที่ที่ระดับสูงมาก ควรทำการเพาะเมล็ดกลางแจ้ง จะช่วยให้งอกได้เร็วขึ้น สิ่งที่สำคัญคือต้องมีน้ำใช้พอเพียง และสะดวกในการใช้รดแปลงเพาะ ดินที่ใช้ทำแปลงเพาะควรเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เช่น ดินชั้นบนในป่า หรือผสมเอง โดยใช้ปุ๋ยคอกที่เน่าเปื่อยดีแล้วร่อนเอา เศษวัสดุอื่นและที่เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ออก ถ้ามีปุ๋ยหมักเป็นการดีที่สุด ทำการขุดแปลงเพาะพลิกดินตากแดดสักระยะหนึ่ง แล้วจึงนำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่เตรียมไว้เข้าคลุกเคล้าให้ดี ควรใส่ปุ๋ยจำพวกให้ฟอสฟอรัสลงไปด้วย แปลงเพาะควรยกขึ้นประมาณ 10 เซนติเมตร กว้าง 1 เมตร ยาวเท่าใดก็ได้ตามความเหมาะสมและสภาพพื้นที่ทำร่องลึกประมาณ 1/2 นิ้ว แล้ววางเมล็ดกาแฟลงไปให้ด้านแบนอยู่ข้างล่าง จะช่วยให้การงอกดีขึ้น แล้วใช้ดินร่วนหรือทรายโรยทับบน



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.megazy.com/

   ระยะที่สะดวกคือควรโรยเมล็ดเป็นแถวไปตามความยาวระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร จะได้ 4 แถว ระยะระหว่างต้น 15 เซนติเมตร กำลังดี วิธีนี้สะดวกในการดูแลรักษาและขนส่งต้นกล้าไประยะทางไกล ควรย้ายชำในถุงพลาสติกใส่ดิน ก่อนถึงเวลานำไปปลูก เมื่อฝนเริ่มตกประมาณเดือนพฤษภาคม และตั้งตัวได้ไปปลูก เมื่อฝนเริ่มตกชุกประมาณ มิถุนายน–สิงหาคม ไม่ควรปลูกช้ากว่านี้ เพราะต้นกล้าจะตั้งตัวไม่ทัน ฤดูแล้งทำให้เปอร์เซนต์ต้นตายสูง หลังจากโรยเมล็ดเสร็จแล้วให้ใช้ดินร่วนหรือทรายกลบเมล็ด คลุมแปลงด้วยฟางหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ทำการรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 2 ครั้ง เมื่อเมล็ดเริ่มงอกให้เอาวัสดุหรือฟางที่คลุมอยู่ออกทันที อัตราส่วนของดินที่ใช้ชำกาแฟ ควรเป็นทราย 1 ส่วน ปุ๋ยคอกที่เน่าเปื่อยดีแล้ว 2 ส่วน และหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ 3 ส่วน ส่วนแปลงเพาะที่จะย้ายกล้าระยะก้านไม้ขีดหมดนั้น อาจเป็นทรายล้วนก็ได้



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.mgronline.com/


สำหรับระยะของเมล็ดจะโรยถี่ห่างแค่ไหน ขอให้พิจารณาที่จะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ก่อน เพื่อประกอบการตัดสินใจดังกล่าวแล้วว่าการงอกของกาแฟแบ่งออกได้ 3 ระยะ ซึ่งเราสามารถย้ายชำได้ทุกระยะ โดยมีข้อดีข้อเสียดังต่อไปนี้


1. การย้ายชำในระยะก้านไม้ขีด ให้เปอร์เซนต์ต้นรอดตายสูงที่สุด และสะดวกในการชำ เพราะต้นกล้ายังมีอาหารสะสมอยู่ที่ใบเลี้ยงมาก ต้นมีขนาดเล็ก รากมีแต่รากแก้ว ง่ายในการชำลงถุงพลาสดิกใส่ดินที่เตรียมไว้แล้ว



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html


-ข้อดีของการย้ายชำในระยะก้านไม้ขีดและระยะผีเสื้อ คือ ให้เปอร์เซนต์ต้นรอดตายสูง ต้นกล้าที่ได้รับการบารุงรักษาดี สามารถนำไปปลูกได้ดีและตั้งตัวได้เร็ว


-ข้อเสีย คือ การดูแลบำรุงรักษาทำได้ยาก โดยเฉพาะการกำจัดวัชพืช และการใช้ปุ๋ย หากต้องทำการขนส่งต้นกล้าไปปลูกในที่ไกลเรือนเพาะชำ ทำให้ขนส่งได้ลำบากและได้ครั้งละจำนวนไม่มาก


2. การย้ายชำในระยะผีเสื้อ หากไม่สามารถชำต้นกล้าระยะไม้ขีดได้หมดทัน ต้นกล้าเปลี่ยนมาเป็นระยะผีเสื้อ ก็ยังสามารถย้ายชำได้สะดวกเช่นเดียวกัน



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html

3. การย้ายชำในระยะใบจริง เปอร์เซนต์ต้นกล้ารอดตายน้อยลงตามจานวนใบจริงที่เพิ่มขึ้น เพราะการขุดกระทบกระเทือนต่อระบบรากมาก หากย้ายชำระยะใบจริงจะต้องควบคุมความชื้นบริเวณผิวใบให้ชุ่มชื้นอยู่เสมออย่างเพียงพอ มิฉะนั้นหากใบร่วงจะทำให้ต้นกล้าชงักการ เจริญเติบโตอาจถึงตายได้ ถ้าไม่ตายอาจแตกใบใหม่ แต่ก็แคระแกร็น ไม่สามารถปลูกในฤดูปลูกนั้นได้ จะต้องเลื่อนออกไปปลูกปีถัดไปแต่ก็เป็นต้นกล้าที่คุณภาพไม่ดีนัก



แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html

-ข้อดี คือ ทำการดูแลบำรุงรักษาในแปลงได้ง่ายกว่าในแง่การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย การรดน้ำการป้องกันโรคและแมลง สามารถส่งต้นกล้าไปยังแหล่งปลูกไกลๆ ได้จำนวนครั้งละมากๆ ในสภาพของต้นกล้าแบบBare root หรือล้างรากเอาดินออกเพื่อไปชำในบริเวณปลูกกาแฟก่อนที่ทำการปลูก หรือทำการปลูกในไร่ทันที


-ข้อเสีย คือ เปอร์เซนต์ต้นรอดตายมีน้อย อาจถึง 50% ต้องการการดูแลให้ความชื้นอย่างเพียงพอ ในระยะช่วงย้ายชำใหม่ๆ


--------------------------------------------------------------------

การปลูกกาแฟ

 ต้นกล้าที่จะย้ายลงปลูกควรมีอายุตั้งแต่ 8 - 12 เดือน หรือ มีใบจริงไม่น้อยกว่า 4 - 5 คู่ โดยระยะปลูกประมาณ 2 x 2 เมตร ขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร โดยสามารถแยกวิธีการปลูกออกเป็น 2 แบบดังนี้

การปลูกแบบตัดแต่งแบบทรงร่ม (Umbrella) 


วิธีนี้เป็นวิธีการที่ใช้กับกาแฟอาราบิก้าที่ปลูกภายใต้สภาพร่มเงา โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 
1. เมื่อต้นกาแฟเจริญเติบโตจนมีความสูง 90 เซนติเมตร ตัดยอดให้เหลือความสูงเพียง 75 เซนติเมตร 

2. เลือกกิ่งแขนงที่ 1 (primary branch) ที่อ่อนแอทิ้ง 1 กิ่ง เพื่อป้องกันยอดฉีกกลาง และต้องคอยตัดยอดที่ จะแตกออกมาจาก โคนกิ่งแขนง ของลำต้นทุกยอดทิ้ง และกิ่งแขนงที่ 1 จะให้ผลผลิต 2-3 ปี ก็จะแตกกิ่งแขนงที่ 2(Secondary branch) กิ่งแขนงที่ 3 (terriary branch) และ กิ่งแขนงที่ 4 (quarternary branch) ให้ผลผลิตช่วง 1-8 ปี 

3. เมื่อต้นกาแฟให้ผลผลิตลดลง ต้องปล่อยให้มี การแตกยอดออกมาใหม่ 1 ยอดจากโคนของกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดหรือถัดลงมา และเมื่อยอดสูงไปถึงระดับ 170 ซม. ตัดให้เหลือความสูงเพียง 150 เซนติเมตร ตัดกิ่ง แขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดให้เหลือเพียง 1 กิ่ง ซึ่งจะสามารถให้ผลผลิตต่อไปอีก 8-10 ปี 

การปลูกแบบตัดแต่งแบบหลายลำต้น (Multiple stem pruning system) 

วิธีการนี้ใช้กับต้นกาแฟอาราบิก้าที่ปลูกกลางแจ้ง โดยทำให้เกิด ต้นกาแฟหลายลำต้น จากโคนต้นที่ถูกตัด แต่คัดเลือกเหลือเพียง 2 ลำต้น ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้ 

1. เมื่อต้นกาแฟสูงถีง 69 เซนติเมตร ให้ตัดยอดให้เหลือ ความสูงเพียง 53 เซนติเมตร เหนือพื้นดินมียอดแตกออกมาจาก ข้อโคนกิ่งแขนงที่ 1 จากคู่ที่อยู่บนสุด 2 ยอด จะต้องตัดกิ่งแขนงที่ 1 ทิ้งทั้ง 2 ข้าง 

2. ปล่อยให้ยอดทั้ง 2 ยอดเจริญเติบโตขึ้นไปทางด้านบน ในขณะเดียวกันกิ่ง แขนงที่ 1 ที่อยู่ต่ำกว่า ความสูง 53 เซนติเมตร เริ่มให้ผลผลิต 

3. กิ่ง แขนงที่ 1 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าความสูง 53 เซนติเมตร จะถูกตัดทิ้ง หลังจากที่ให้ผลผลิตแล้ว ในขณะเดียว กันกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่ระดับล่างๆ ของลำต้นทั้งสองก็เริ่มให้ผลผลิต 

4. ต้นกาแฟที่เจริญเป็นลำต้น ใหญ่ 2 ลำต้น จะสามารถให้ ผลผลิตอีก 2-4 ปี และขณะเดียวกันก็จะเกิด หน่อขึ้นมา เป็นลำต้นใหม่ อีกบริเวณโคนต้นกาแฟเดิม ให้ปล่อยหน่อที่แตกใหม่เจริญเป็นต้นใหม่ ตัดให้ เหลือเพียง 3 ลำต้น 

5. ให้ตัดต้นกาแฟเก่าทั้ง 2 ต้นทิ้ง และเลี้ยงหน่อใหม่ ที่เจริญเป็นต้นใหม่ ซึ่งจะสามารถให้ผลผลิตได้อีก 2-4 ปี แล้วจึงตัด ต้นเก่าเพื่อให้แตกต้นใหม่อีก 


การให้น้ำ

พื้นที่ปลูกที่เหมาะสมส่วนใหญ่อยู่บนพื้นที่สูงระดับตั้งแต่ 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ซึ่งจะอาศัยน้ำฝน ตามธรรมชาติ ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 1,500 มิลลิเมตร และมีการกระจายของฝนตั้งแต่ 5-8 เดือน ในรอบ 1 ปี นอกจากนี้ยังมีสภาพอากาศหนาวเย็น ความชื้นสูง จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบการให้น้ำกับต้น กาแฟ นอกจากนี้หากปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลยืนต้น หรือปลูกกาแฟ ภายใต้สภาพร่มเงากับไม้ป่าโตเร็ว รวมถึงการคลุมโคนต้น ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ปลูกไม่ต้องพึ่งพาระบบชลประทาน 

--------------------------------------------------------------------

การเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อคุณภาพของกาแฟ ได้แก่ เนื้อสารกาแฟ (Body) รสชาติ (Flavour) ความเป็นกรด (Acidity) และมีกลิ่นหอม (Aroma) หากเก็บผลที่ยังไม่สุก และช่วงเวลาในการเก็บไม่เหมาะสม นอกจากจะมีผลต่อคุณภาพ และรสชาติแล้ว ยังมีผลทำให้ต้นทุนการผลิต (ค่าแรงงาน) เพิ่มขึ้น 


แหล่งที่มาของข้อมูล: www.technologychaoban.com


- ควรเก็บผลที่สุก 90-100 เปอร์เซ็นต์ คือ เมื่อผลมีสีแดงเกือบทั้งผล หรือทั่วทั้งผลหรือผลมีสีเหลืองเกือบทั้งผลหรือทั่วทั้งผล (บางสายพันธุ์ ผลสุกจะเป็นสีเหลือง) 


- การทดสอบผลสุกพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว โดยการปลิดผลกาแฟ แล้วใช้นิ้วบีบผล ถ้าผลสุกเปลือกจะแตกง่ายและเมล็ดกาแฟจะโผล่ออกมา 

- การเก็บผลควรจะพิจารณาการสุกของผลบนแต่ละกิ่ง ที่ให้ผลในแต่ละต้น ว่ามีผลสุกมากกว่าร้อยละ 50 ในการเก็บผลผลิตครั้งแรก ซึ่งปกติการเก็บ ผลกาแฟจะต้องใช้เวลาเก็บประมาณ 2-4 ครั้ง

อายุการเก็บเกี่ยว 

ผลกาแฟในแต่ละสภาพพื้นที่ปลูกไม่พร้อมกัน 
- ระดับความสูง 700-900 เมตรจากระดับน้ำทะเลอายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล-ผลสุก) ประมาณ 6 เดือน 
- ระดับความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล อายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล-ผลสุก) ประมาณ 9 เดือน 


แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.kla-d.com/kla-d2.html


วิธีการเก็บเกี่ยว


การเก็บทีละผลหรือทั้งช่อ โดยเก็บเฉพาะผลที่สุกในแต่ละช่อ หรือเก็บทั้งช่อก็ได้ หากผลสุกพร้อมกัน เป็นวิธีการที่จะสามารถควบคุม คุณภาพของกาแฟได้ดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น